ครอบครัวตัดสินใจรับเลี้ยง "เจ้าเหมียว" ที่ไม่มีใครต้องการ ทั้งที่เลือกได้ก่อน แต่ขอรอตัวที่เหลืออยู่
คอมเมนต์:
ยังจำเรื่องราวของ "น้องฮาเปอร์" เด็กน้อยที่ถูกเจ้าเหมียวข่วนหน้า แต่กลับบอกคุณแม่ว่า เป็นความผิดของตนเพราะน่าจะกอดเจ้าเหมียวแรงเกินไป ทำให้น้องฮาเปอร์ได้รับคำชมจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมากว่ามีจิตใจที่อ่อนโยนมาก ๆ ล่าสุดคุณแม่ของน้องฮาเปอร์ ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของลูกชายตัวน้อยเพิ่มเติมผ่านกลุ่ม ทาสแมว ถึงเหตุผลที่ทำไมลูกชายมีจิตใจอ่อนโยนและรักแมวมาก ๆ [อ่านเพิ่มเติม : ลูกชายเดินคอตกไปหาแม่ หลังถูกเจ้าเหมียวข่วนหน้า พร้อมบอกว่า มันเป็นความผิดของผมเองครับ]
Sponsored Ad
โดยคุณแม่ได้เล่าว่า กว่าที่น้องฮาเปอร์จะได้เจ้าเหมียวตัวแรกมาเลี้ยงนั้น ไม่ได้ได้มาง่าย ๆ โดยเดิมทีแล้วตัวน้องฮาเปอร์มีความสนใจสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่น้องอายุแค่ 2 ขวบครึ่งเท่านั้น โดยคุณแม่เลยให้น้องฮาเปอร์ได้เริ่มจากการเลี้ยงปลาก่อน และให้ลูกชายตัวน้อยมีหน้าที่ให้อาหารและพูดกับปลาวันละ 5 นาที ซึ่งลูกชายก็ทำแบบนั้นทุกวันเป็นเวลากว่า 1 ปี จนกระทั่งอายุ 3 ขวบครึ่ง คุณแม่ให้น้องฮาเปอร์เล่นกับแมวของคนข้างบ้าน จากนั้นตนและสามีก็ได้เริ่มปรึกษากันแล้วว่า ลูกน่าจะพร้อมที่จะมีแมวสักตัวแล้ว ซึ่งทั้งคู่เลือกจะรับแมวจากสถานสงเคราะห์สัตว์มาเลี้ยงนั่นเอง
Sponsored Ad
เพราะไม่อยากไปซื้อแมวตัวใหม่มา เพื่อเป็นการเพิ่มประชากรแมวโดยใช่เหตุ และคิดว่าไม่มีใครบนโลกนี้สมควรถูกเท นี่เป็นเหตุผลหลัก ๆ เลย ที่ตัดสินใจเลือกแมวจากสถานสงเคราะห์ ซึ่งหลังจากที่ติดสินใจแล้ว คุณพ่อของน้องฮาเปอร์ก็ได้พาลูกชายไปที่สถานสงเคราะห์สัตว์ทุกวัน ครั้งแรกที่ไป คือ 27 ธันวาคม 2019 มีลูกแมว 4 ตัว อายุ 10 สัปดาห์ รอรับไปเลี้ยง พ่อพาฮาเปอร์ไปแวะดูแมว และเล่นกับแมวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งหลังเลิกเรียน จนเวลาผ่านไปจาก 4 ตัว เหลือ 3 ตัว โดยคุณแม่เผยว่า ทั้งที่เราจะเลือกสี เลือกเพศก่อนใครเลยก็ได้ แต่เพราะอย่างที่บอกแหละเราคิดมาแล้วว่า ไม่มีใครสมควรถูกเทเราเลยรอ รอจนถึงตัวสุดท้ายที่ไม่มีใครเลือก
Sponsored Ad
จนกระทั่งวันที่ 26 มกราคม 2020 ที่ผ่านมา เป็นวันชาติของประเทศออสเตรเลีย เช้าวันนั้นจะเป็นวันที่ครอบครัวของน้องฮาเปอร์จะไปรับแมวมาเลี้ยง โดยคุณพ่อไปทำงานช่วงเช้า คุณแม่และตัวน้องฮาเปอร์ก็ได้จัดบ้าน จัดที่นอน ถาดทราย ชามอาหาร พร้อมกับเตรียมเอกสารสำหรับยื่นอุปการะแมว รอเวลาคุณพ่อเลิกงาน จนกระทั่งไปถึง หลังจากทำเอกสารต่าง ๆ พร้อมกับจ่ายค่าอุปการะ ที่เป็นค่าวัคซิน, ไมโครชิพ, ค่าทำหมัน และค่าประกันอุบัติเหตุ โดยทางสถานสงเคราะห์จะเอาแมวใส่กล่องลังปิดฝาส่งให้
Sponsored Ad
โดยครอบครัวจะยังไม่เปิดกล่องจนกว่าจะถึงบ้านะ เพราะกฏก็คือเมื่อเปิดกล่องออกมาแล้ว แมวเดินไปหาใครก่อน คนนั้นจะได้เป็นคนตั้งชื่อแมว และเมื่อถึงบ้านเราสามคนนั่งล้อมวงกันและมีกล่องอยู่ตรงกลาง คุณพ่อเปิดกล่องออก มีหูแหลม ๆ 2 หู ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมามองไปรอบ แล้วไต่ออกมาจากกล่อง เดินมุ่งตรงไปที่ฮาเปอร์เป็นคนแรก และสีหน้าของฮาเปอร์ตอนนั้นคือดีใจมากที่จะได้ตั้งชื่อให้แมว
Sponsored Ad
พอเจ้าเหมียวเดินไปหาน้องฮาเปอร์ ลูกชายก็พูดว่า ชื่อของแกคือ "ฮาววี่" แกชอบมั้ย มันดีที่สุดเท่าที่ฉันคิดได้เลยนะ
ทั้งนี้คุณแม่ก็ได้เผยว่าในครอบครัวมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน โดยคุณพ่อจะมีหน้าที่ตักอึ และคุณแม่จะมีหน้าที่เรื่องอาหาร อาบน้ำ และของใช้ รวมถึงทำความสะอาดที่นอนเจ้าเหมียว ส่วนน้องฮาเปอร์เนื่องจากต้องให้อาหารปลาอยู่แล้วก็เลยเพิ่มให้อาหารแมวไปด้วยเลย แล้วต้องล้างถ้วยอาหารแมวทุกวัน ๆ คอยเติมน้ำให้แมว โดยคุณแม่บอกกับน้องฮาเปอร์ว่า เราคงต้องทำแบบนี้ไปอีก 15-20 ปี คิดว่าทำได้มั้ย แม่ว่าแม่ทำได้นะ พ่อก็ว่าพอทำได้ ฮาเปอร์จึงมีความมั่นใจมากว่าเค้าก็ต้องทำได้เหมือนกัน ทุกการตัดสินใจลูกจะได้ฟังและรับรู้เหตุผลโดยตลอด ตั้งแต่การไปซื้ออุปกรณ์ เลือกอาหาร และทรายแมว เราทำงานเป็นทีมมาโดยตลอดเลยค่ะ นี่คงเป็นเหตุผลที่ฮาเปอร์รักและผูกพันกับแมวของเค้ามากถึงมากที่สุด เพราะเค้าอยู่ในทุกช่วงเวลาของการรับผิดชอบอีก 1 ชีวิต ที่เข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัว
ที่มา : เฟซบุ๊ก Patcha Charoenpong